แมวสฟิงซ์ (Sphynx) ถูกพัฒนาสายพันธุ์เป็นครั้งแรกในแถบยุโรป แต่ที่นิยมเลี้ยงและเป็นที่รู้จักเป็นการพัฒนาสายพันธุ์ประเทศแคนาดา ตั้งแต่ปี 1970 ในปัจจุบันยังถูกแบ่งต้นกำเนิดการพัฒนาของสฟิงซ์ออกเป็น 2 สาย คือ ของมินนิโซต้า และแคนาดา
ลักษณะทางกายภาพของ แมวสฟิงซ์
นอกจากไม่มีขนที่เป็นลักษณะที่โดดเด่นไม่เหมือนใครก็ยังมีส่วนอื่น ๆ ที่ไม่เหมือนแมวทั่วไป เช่น รูปร่างที่ใหญ่แต่ผอมเพรียว แข็งแรง หูยาวแหลม หากดูผิวเผินอาจจะดูเหมือนไม่มีขน แต่จริงแล้วจะมีขนขนาดเล็กมากอยู่บนผิวหนัง และมีหนวดเหมือนกับแมวทั่วไป จึงทำมีผิวหนังได้หลายสี เช่น มีสีเดียวทั้งตัว หรืออาจมีถึง 2-3 สีขึ้นไปก็ได้ โดยอายุขัยโดยเฉลี่ยก็อยู่ที่ 15-20 ปี
ลักษณะนิสัย แมวสฟิงซ์
นิสัยของสฟิงซ์ ด้วยความที่มีความแข็งแรง และขี้เล่น เวลาเล่นกับเจ้าของมักจุทุ่มสุดกำลังทำให้สนุกทุกครั้งที่ได้เล่นด้วย นอกจากนี้น้องยังมักทำสิ่งตลกให้ขำเสมอ สฟิงซ์ยังเป็นแมวที่ชอบความเป็นส่วนตัวชอบอยู่ลำพัง แต่ชอบที่จะถูกสนใจจากเจ้าของ ชอบที่จะนอนในคอนโดแมว หรือบนเตียงนอนเจ้าของ
การดูแล แมวสฟิงซ์
การออกกำลังกาย – เจ้าของควรมีเวลาเล่นกับสฟิงซ์บ้างเพื่อเป็นการออกกำลังกายไปในตัว ซึ่งอาจจะใช้ของเล่นแมวแบบต่าง ๆ มาช่วยทำให้กิจกรรมมีความสนุกมากขึ้น
อาหาร – สฟิงซ์เป็นแมวที่มีระบบเผาผลาญพลังงานที่สูงมาก จึงควรให้อาหารในปริมาณที่มากพอในสัดส่วนที่เหมาะสมเพื่อทดแทนพลังงานที่หายไป ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพในระยาวอีกด้วย โดยอาหารเปียกหรืออาหารเม็ดควรจะเน้นแบบโปรตีนสูง ในบางวันอาจจะให้เป็น เนื้อไก่ เนื้อปลา ก็ได้เช่นกัน ส่วนคาร์โบไฮเดรตมีร่างกายมีความต้องการน้อยกว่าโปรตีน
โรคประจำพันธุ์ แมวสฟิงซ์
โรคที่มักจะเกิดกับแมวสายพันธุ์นี้ก็มีหลายโรคที่เฝ้าระวัง ที่พบบ่อยก็คือ โรคระบบผิวหนัง , ระบบไหลเวียนโลหิต และหัวใจ, โรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อหัวใจ, โรคระบบทางเดินอาหาร และตับ, โรคฟัน, โรคระบบต่อมไร้ท่อโรคเบาหวาน, ระบบกระดูก เอ็น และข้อต่อ, ระบบเลือดและภูมิคุ้มกัน, ภาวะเม็ดเลือดแดงของลูกแตกหลังคลอด
จะเห็นได้ว่า แมวสฟิงซ์ มีนิสัยที่ติดเจ้าของ ต้องการความสนใจ อีกทั้งยังชอบที่จะเล่นดังนั้นหากคิดจะเลี้ยงต้องมั่นใจว่าจะมีเวลาเล่น มีเวลาเอาใจใส่ มีเวลาทำกิจกรรมน่วมกัน ที่สำคัญก่อนเลี้ยงควรพาไปตรวจสุขภาพ ฉีดวัคซีนให้เรียบร้อยก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาวได้เป็นอย่างดี