ภาวะหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทมักเกิดกับผู้สูงวัยที่มีภาวะเสื่อมของกระดูกข้อต่อบริเวณกระดูกสันหลัง แต่ปัจจุบันกลับพบว่าภาวะหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทนั้นเกิดขึ้นกับคนวัยทำงาน วัยหนุ่มสาวได้มากขึ้น ซึ่งส่วนมากเกิดจากพฤติกรรมการนั่ง การยกของด้วยท่าที่ไม่ถูกต้องนั่นเอง วันนี้เรามาดูข้อมูลเบื้องต้น ทั้งอาการ การรักษาร่วมถึงวิธีการป้องกันกันคะ
หมอนรองกระดูกมีลักษณะอย่างไร
หมอนรองกระดูกสันหลังจะมีลักษณะเป็นถุงแบน ๆ ลักษณะด้านนอกคล้ายยางรถยนต์ ส่วนด้านในจะมีลักษณะคล้ายวุ้น อยู่ระหว่างกระดูกสันหลังแต่ละข้อ ทำหน้าที่เป็นข้อต่อรองรับการเคลื่อนไหวของกระดูกสันหลัง ช่วยรับแรงกระแทก และเพิ่มความยืดหยุ่นของการเคลื่อนไหว
ภาวะหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
คือ เกิดการปลิ้นและโป่งขึ้นของหมอนรองกระดูก จนไปกดทับเส้นประสาทที่อยู่โดยรอบแนวกระดูกไขสันหลัง โดยปกติแล้วหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทมักเกิดกับกลุ่มคนอายุมากแต่อาจเกิดในวัยหนุ่มสาวได้หากมีกิจกรรมที่ส่งผลต่อความเสื่อมของหมอนรองกระดูกที่ไวขึ้น เช่น นั่งหรือยืนทำงานที่ไม่ถูกท่า ได้รับอุบัติเหตุที่กระดูกสันหลัง ออกกำลังกายหักโหม และน้ำหนักตัวที่มาก
อาการ
อาการขึ้นอยู่กับบริเวณที่ถูกกดทับ ถ้ากดทับที่เส้นประสาทบริเวณคอจะมีอาการปวดคอ บ่า ไหล่ ปวดร้าวลงไปแขนขา ข้างใดข้างหนึ่ง ชาแขน ล้าขา หรืออ่อนแรงแขนขา แต่ถ้าเกิดการกดทับเส้นประสาทส่วนเอวจะมีอาการปวดบริเวณเอว ร้าวลงสะโพกและขากล้ามเนื้อขาอ่อนแรง กระดกข้อเท้าหรือนิ้วโป้งเท้าไม่ขึ้น หากมีอาการรุนแรงจะชาไปรอบๆ ก้น และขับถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะลำบาก
แนวทางการรักษา
โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทมีหลายวิธีขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการที่เป็นอยู่ โดยเริ่มจากพักการใช้งานหลีกเลี่ยงการทำงานหนักหรือกิจกรรมที่ต้องใช้งานส่วนคอและเอวรุนแรงร่วมกับการทานยา ทำกายภาพบำบัด ในกรณีที่มีอาการรุนแรง อาจต้องผ่าตัด
การป้องกัน
1.ไม่ยกของหนัก หรือยกของในท่าเดิม ๆมากเกินไป ปรับเปลี่ยนอิริยาบถในการทำงานทุก ๆ 2 – 3 ชั่วโมง
2.หมั่นบริหารเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อต้นคอหลังและหน้าท้อง
3.ควบคุมน้ำหนักตัว เพื่อลดแรงกดทับที่หมอนรองกระดูก
4.ควรงดสูบบุหรี่ เนื่องจากบุหรี่จะทำให้ออกซิเจนไปเลี้ยงหมอนรองกระดูกลดลง และเกิดการเสื่อมเร็วขึ้น
ภาวะหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาทเกิดจากกิจกรรมในชีวิตประจำวันที่ไม่ถูกต้อง ทั้งการยกของหนัก การนั่ง และอาจเกิดจากได้รับแรงกระแทกบริเวณสันหลัง ซึ่งปัจจุบันวัยหนุ่มสาวเริ่มเป็นกันมากขึ้น ดังนั้นหากมีอาการชา หรือปวดตามคอ ไหล ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที